ผู้เป็นนักบวชก็ดี เป็นคฤหัสถ์ก็ดี ต่างคนก็ต่างอุทิศชีวิตของตนบูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

1087

“…ให้พากันตั้งใจ สำรวมใจของตนให้ดี เราทุกคนในศาลานับถือพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน ผู้เป็นนักบวชก็ดี

เป็นคฤหัสถ์ก็ดี ต่างคนก็ต่างอุทิศชีวิตของตนบูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยที่เราเชื่อมั่นว่า พระคุณทั้งสามนี้เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์ทางจิตใจได้ ไม่มีพระคุณอื่นที่จะกำจัดทุกข์ภัยต่างๆ ออกจากจิตใจนี้ได้เสมอหรือยิ่งไปกว่านี้ ไม่มี

ไอ้เราทุกคนที่เป็นชาวพุทธก็ต้องพิจารณาเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปกล่าวคำปฏิญาณตนถึงด้วยวาจาเฉยๆแต่ว่าใจนั้นไม่พิจารณาให้ลึกซึ้งในพระคุณเหล่านั้น เราก็อาจจะเห็นเป็นเรื่องไม่อัศจรรย์อะไร นี่เราจะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ต่อเมื่อทุกคนมาพิจารณาตัวเองด้วย แล้วพิจารณาถึงพระพุทธเจ้าด้วย ไอ้ตัวเองพยายามละกิเลสตัณหาอยู่ในจิตใจนี่เต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถจะละกิเลสตัณหาให้หมดไปได้

แม้แต่จะเบาบางลงนี้ก็ยากเต็มที อย่างนี้แล้วพระพุทธองค์น่ะพระองค์ทรงละอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไปจากพระทัยจริงๆ เรามาพิจารณาตัวของเราเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้วจะว่าจึงได้เห็นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งที่ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์แนะนำสั่งสอนเลย พระองค์ทรงอาศัยพระปัญญาปรีชา ความสามารถ ความเพียรของพระองค์เอง นั่นแหละที่ว่าเป็นน่าอัศจรรย์นั่นแหละ

อัศจรรย์อะไร? อัศจรรย์เพราะพระองค์มีความเพียรใหญ่ มีความเพียรไม่มีใครเสมอเหมือนเลย นั่นแหละ แล้วพูดถึงปัญญาก็ยอดเยี่ยม ไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าคนอื่นๆ นั่นน่ะไม่สามารถที่จะละอาสวะกิเลสตัณหาโดยลำพังตนเองได้โดยไม่ต้องได้สดับตรับฟังจากผู้อื่นมาก่อน นี่ล่ะหมายความว่า ไม่สามารถที่จะละกิเลสตัณหาโดยอุบายปัญญาของตนเองได้ ดังนั้นล่ะจึงว่า ไม่น่าอัศจรรย์อะไรไอ้สำหรับคนธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะว่ายังละอาสวะกิเลสไม่ได้หมด

ส่วนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์นั้นท่านได้สดับพระโอวาทของพระพุทธเจ้าแล้ว รู้แนวทางปฏิบัติอันถูกต้องแล้วก็ตั้งความเพียรลงไป เอาใจจดจ่ออยู่ในใจตัวเอง จดจ่อที่จะละกิเลสนี้ให้มันหมดไปสิ้นไป ท่านทำความเพียร เพียรเพ่งพินิจอยู่ในจิตใจ ไม่ท้อไม่ถอย

ในที่สุดท่านก็ละอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ แต่บางจำพวกก็ไม่ยากอะไร เพียงพระองค์แสดงพระธรรมบาทคาถาเดียวเท่านั้นจบลง โดยไม่ได้อธิบายอะไรเลย ก็ได้สำเร็จอรหัตตผลแล้วแต่บางจำพวกก็ต้องได้ทำความเพียรบากบั่นพอสมควรจึงละอาสวะกิเลสได้ นั่นแหละ แต่บางพวกแม้จะทำความเพียรอย่างไรอย่างไร ก็ไม่สามารถสำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษได้ในชาติปัจจุบันนี้ แต่มันก็เป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตามไป

นี่บุคคลมันมีอยู่สี่จำพวกอย่างนี้ ดังนั้นแหละท่านจึงกล่าวว่า เป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ใจ เนื่องจากว่าคนธรรมดาสามัญนี่ไม่สามารถที่จะละกิเลสให้ขาดได้โดยเร็วเหมือนพระอรหันตสาวกทั้งหลายนั้น บางคนแม้พากเพียรอยู่จนว่า ตลอดชีวิตก็ยังละกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไปไม่ได้ เพียงแต่เป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตามไปในชาติต่อๆ ไปเท่านั้นเอง…”

………………………..

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขอบคุณ “ลานธรรมจักร”