4 จตุรอาชา 4 Horsemen of the Apocalypse

1189

ตั้งแต่ในอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน มนุษยชาติมักจะมีความเชื่อในเรื่องของวันสิ้นโลกมาโดยตลอด เช่น ตำนานเรือยักษ์โนอาห์ ที่ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นปริศนาให้นักวิจัยถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด และ หรืออย่างปี 2012 ที่ผู้คนพากันแตกตื่นตกใจว่ามันจะสิ้นโลกตามคำทำนายของปฏิทินมายัน แต่เหตุการณ์ที่ว่าก็ผ่านไปอย่างเงียบกริบชนิดที่เรียกได้ว่ามีมุขตลกของพวกชาวต่างชาติเอามาแซวว่า “หากในอนาคตคุณมีลูกก็ให้เปิดภาพยนตร์เรื่อง 2012 ให้ดูแล้วบอกพวกเขาว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และ หากลูกคุณถูกคนอื่มองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลก็ให้บอกพวกเขาว่าคนเหล่านั้นโดนล้างสมองจากเอเลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว”

แต่ดูเหมือนว่าอีกตำนานหนึ่ง ที่ได้รับการกล่าวขานมาโดยตลอดในพระคัมภีร์ศาสนาคริสต์ ที่ยังไม่มีใครสามารถถอดความของมันได้ คือการคงอยู่ของเหล่า ‘คนม้าทั้งสี่’ หรือ 4 Horsemen of the Apocalypse ที่เราจะมากล่าวถึงกันในบทความชิ้นนี้

4 จตุรอาชา ในตำนานได้ระบุเอาไว้ว่า พระเจ้าจะทรงเปิดผนึกออกมาทีละดวงเพื่อนำเอา 4 จตุอาชาออกมาใช้ในยามที่โลกถึงวันพิพากษา (Judgement Day) โดย 4 จตุอาชานี้แหละครับที่จะนำมนุษย์ไปสู่วันสิ้นโลกอย่างแท้จริง เรามาทำความรู้จักกับพวกเขากันดีกว่าว่า 4 อาชาที่ว่ามีใครกันบ้าง

1.โรคระบาด (Pestilence หรือ Plague)
ในพระคำภีร์ระบุเอาไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ยินหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสีกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเหมือนฟ้าร้องว่า “มาเถิด” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าข้าวตนหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ผู้ขี่ม้านี้ถือธนู เขาได้รับมงกุฏแล้วควบม้าไปอย่างผู้พิชิตที่ตั้งใจออกไปพิชิตศึก”

จตุรอาชาคนแรกก็คือ โรคระบาด (Pestilence) ที่จะเกิดขึ้นและนำความทุกข์อย่างยิ่งยวดมาสู่มนุษย์ชาติจากการแพร่กระจายของเชื้อร้าย จนในที่สุดเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทนได้ผนึกดวงที่ 2 ก็จะทำงานทันทีและ จตุรอาชาคนที่สองก็จะออกมาโลดแล่นอยู่ในดินแดนแห่งคนเป็นนั้นก็คือ

2.สงคราม (War)
ในพระคำภีระบุถึงการมาของเขาเอาไว้ว่า “เมื่อพระเมษทรงโปรดแกะดวงตราที่สอง ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สองกล่าวออกมาว่า “มาเถิด” แล้วม้าอีกตนที่มีสีแดงเพลิงก็ปรากฏออกมา ผู้ขี่ม้านี้ได้รับอำนาจที่จะนำสันติภาพไปจากโลกและทำให้มนุษย์เข่นฆ่ากัน”

จากตำนานดังกล่าวนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่า สงคราม (War) ก็คือผู้ที่นำสงครามมายังโลกมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่ากันเพื่อชิงดินแดน การรักษาอาณาเขตต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจาก War ทั้งสิ้น เมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้วแน่นอนที่สุดว่าย่อมต้องมีการนำเอางบประมาณไปใช้สิ่งที่จะต้องตามมาอย่างเห็นได้ชัดก็คือความอดอยากที่จะนำมาซึ่ง 4 จตุรอาชาคนที่สาม

3.ความอดอยาก (Famine)
ในคำภีร์กล่าวเอาไว้ว่า “เมื่อพระเมษทรงโปรดแกะดวงตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตคนที่สามกล่าวขึ้นมาว่า “มาเถิด” ข้าพเจ้ามองเห็นม้าสีดำตัวหนึ่งอยู๋ข้างหน้า ผู้ขี่ม้านี้ชูตราขึ้นมาแล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากสิ่งมีชีวิตนี้ว่า ข้าวสาลี ลิตรละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอัน แต่อย่าทำให้น้ำมันและเหล้าองุ่นเสียหาย”

ผู้ขี่ม้านี้เป็นตัวแทนของความอดอยากดังจะเห็นได้ว่าพอปรากฏตัวออกมาก็ขายของก่อนเลย (ขี้งกนะเนี้ย) เป็นผลพวงที่เกิดจากการทำสงครามระหว่างมนุษย์ชาติด้วยกันเองจนทรัพยากรที่มีต้องหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งในช่วงเวลาที่มนุษย์ไม่มีอันจะกิน 4 จตุรอาชาคนสุดท้ายจะปรากฏตัวออกมา นั้นก็คือ

4.ความตาย (Death)
จตุรอาชาคนสุดท้ายที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาผู้ขี่มาทั้ง 4 ตน โดยในพระคำภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวถึงเขาเอาไว้ว่า “เมื่อพระองค์ทรงแกะดวงตราที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียง “มาเถิด” ข้าพเจ้าเห็นม้าสีเขียวหม่นตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ผู้ขี่ม้านี้ชื่อว่าความตาย และ ความตาย”

จะเห็นได้ว่าผู้ขี่ม้าตนนี้เป็นหนึ่งในอาชาที่น่ากลัวที่สุด น่ากลัวมากกว่าพี่น้องทั้ง 3 ของตนและทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใดเพราะจตุรอาชาคนนี้จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อ ทั้ง 3 พี่น้องออกมาอาละวาดในโลกมนุษย์เรียบร้อยแล้ว และจะเป็นผู้ที่นำพาความตายมาสู่โลกมนุษย์ในที่สุด