คนขายเนื้อแห่งฮันเวอร์

1203

ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การทำอาหารทานที่บ้านก็ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยประหยัดเงินไปได้หลายบาท

แต่..วัตถุดิบสำคัญในการทำอาหารคือเนื้อสัตว์ใช่ไหม โดยเฉพาะเนื้อหมู ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในการบริโภคเป็นอย่างสูง

แต่จะเป็นยังไงละครับ ถ้าเนื้อหมูที่เราไปซื้อ ไม่ใช่เนื้อหมูจริงๆ แต่เป็นเนื้อคนที่ถูกเอามาสวมรอยเป็นเนื้อหมูแทน !!

ในช่วงปี 1898 – 1924 หรือกว่า 26 ปีที่ในเมืองฮันโนเวอร์มีการลักลอบสวมรอยอาเนื้อคนไปขายในตลาด !!!

จึงเกิดเป็นตำนาน “คนขายเนื้อแห่งฮันเวอร์”

โดยชายผู้เป็นตำนานนี้ชื่อว่า ฟริตส์ ฮาร์มันน์ ชายผู้ได้รับฉายาว่า “คนขายเนื้อแห่งฮันเวอร์” เป็นชายชาวเยอรมันโดยกำเนิด เกิดวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม ปี 1879 เกิดที่ฮันโนเวอร์ โตมาในในครอบครัวที่แสนยากจนและมีลูกหลายคน
พ่อของเขาเป็นคนที่แสนจะโหดร้าย ฟริตส์ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยพ่อบังเกิดเกล้าตั้งแต่เด็กทำให้กลายเป็นคนที่มีอุปนิสัยก้าวร้าวรุนแรง ถึงขนาดต้องไปรับการบำบัดที่โรงพยาบาลบ้า แต่ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา
เนื่องจากไม่พบอาการผิดปกติทางจิต


เมื่อออกมาเขาก็กลายเป็นพ่อค้าตลาดมืด
จนกระทั่งพัฒนามาเป็นฆาตกรต่อเนื่องในที่สุด
โดยเชื่อว่าเขาเป็นผู้ต้องหาฆาตกรรมเหยื่อ
อย่างน้อย 27 คน และถูกลงโทษจากคดีที่ว่านั้น
( คาดว่ามีเหยื่อมากกว่านั้น )

การออกล่าฆ่าคนของเขาเริ่มต้นครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี1898 ยาวนานมาจนถึงเดือนมิถุนายน 1924 คิดเป็นเวลารวมกว่า 26 ปีที ส่วนมากเหยื่อจะเป็นวัยรุ่นอายุราวๆ 12-16 ปี
ที่หนีออกจากบ้านหรือหางานทำ

และเรื่องราวต่อไปนี้เป็นเหตุฆาตรกรรมบางส่วนที่เราเอามาให้ท่านได้อ่านกัน

คดีแรกคือคดีของการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของ
ฟรีเดล ร็อธธ์ วัย 17 ปี ที่หายตัวไปในวันที่ 25 กันยายน ปี 1918 แต่ด้วยแรงกดดันจากทางครอบครัว และเพื่อนของ
ฟรีเดล ร็อธธ์ ทำให้ผู้มีอำนาจต้องเร่งทำคดีนี้ให้สำเร็จ จนวันนึงตำรวจก็ไปพบฟริตส์ ฮาร์มันน์ กำลังข่มขืนเด็กหนุ่มวัยละอ่อนอยู่

ซึ่งทำให้ ฟริตส์ ฮาร์มันน์ถูกจับกุมข้อหาคุกคามทางเพศ แต่เป็นที่น่าแปลกใจอย่างมาก เพราะหลังจากถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการไปขอตรวจค้นที่บ้านของฮาร์มันน์เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเจ้าตัวก็ใช้เวลาไม่นานในคุกก่อนจะออกมาเป็นอิสระ

ซึ่งพอถูกปล่อยตัวออกมาด้วยความอดอยากปากแห้งอยาก เสี้ยนในกาม และ อยากจะฆ่า ฮาร์มันน์ ฟรีตส์ก็ตั้งใจจะก่อคดีในคืนที่ถูกปล่อยตัวเลย โดยเหยื่อคราวนี้เป็นชายที่ชื่อ
ฮานส์ กันน์ ที่พวกเขาพบกันที่สถานีรถไฟ ทั้งสองมีการพูดคุยกันอยากออกรสออกชาติ และกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาอันสั้น โดยเหยื่อคราวนี้ดูท่าจะถูกใจพ่อฆาตรกรจอมโหดคนนี้เสียด้วย เพราะเหยื่อที่ตั้งใจจะฆ่าคราวนี้ ฮานส์ กันน์นั้นกลับกลายเป็นเกย์อยู่แล้วเสียนี่ แล้วดันคุยกันถูกคออีก จากจะฆ่าก็กลายเป็นหลงรักซะอย่างงั้น ซึ่งในคืนนั้นเองทั้งคู่ก็ได้กินตับและกลายเป็นคู่ขากัน ก่อนจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันที่อพาร์ทเม้นต์หมายเลข 27 ที่ชื่อ “Cellerstraße” ซึ่งในภายหลังที่นี่ได้กลายเป็นห้องเชือด
ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้เริ่มออกล่าเหยื่ออีก โดยคราวนี้ได้รับความช่วยเหลือจากคนรักของเจ้าตัวคือตา ฮานส์ กันน์ นี่แหละ โดยเหยื่อคราวนี้ที่สองชายได้ลงมือฆ่าคือ
ฟริตส์ แฟรงค์กี้ เหยื่อวัย 17 ปี ก่อนในปีนั้นจะฆ่าไปอีก 12 ศพ ตลอดระยะเวลา 9 เดือน

โดยฮาร์มันน์จะทำทีเข้าไปตีสนิท รับฟังความทุกข์ และให้คำแนะนำแก่พวกเหยื่อ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เหยื่อของเขาเผลอ ฮาร์มันน์ก็จะพาเหยื่อไปมีเพศสัมพันธ์กับเขาที่อพาร์ตเมนท์ จากนั้นก็ลงมือฆ่า โดยการบีบคอ กัดคอ หรือเอามีดจ้วง
จากนั้นจะนำร่างของเหยื่อไปชำแหละเป็นอาหาร ส่งไปขายในตลาดมืด โดยอ้างว่าเป็นเนื้อหมู

ก็อย่างที่บอกว่าเขาทำอย่างนี้มาตลอด 26 ปี จนกระทั่งวันที่ตำนานต้องยุติลง โดยเหยื่อคนสุดท้ายที่เขาตั้งใจจะฆ่าคือ
คาลล์ ฟอร์ม ที่เขาบังเอิญเจอกันที่สถานีรถไฟ วิธีการก็ทำเหมือนเดิม ทำเป็นตีสนิท ออกอุบายชวนมาบ้าน (ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็คงแบบ มาดู Netflix บ้านผมไหม)

ซึ่งฟอร์มก็ได้ใช้เวลาหลายวันในอพาร์ตเมนต์ของฮาร์มันน์
ซึ่งที่นั่นเขาโดนข่มขืนกระทำชำเรา ถูกทำร้ายทางเพศในท้ายที่สุดเจ้าตัวก็มีความคิดที่จะลงมือเชือด แต่ไม่รู้ว่าชะตาเล่นตลก หรือวาทะศิลป์ของฟอร์ม ที่พูดถึงศีลธรรมอันดี
เกลี้ยกล่อมอีตา ฟลิตส์ ฮาร์มันน์ ให้ยอมใจอ่อนปล่อยตัวเขาไป

ซึ่งหารู้ไม่ว่าการกระทำนั่นจะนำมาซึ่งจุดจบของตำนาน “คนขายเนื้อแห่งฮันเวอร์” เพราะฟอร์มได้ไปแจ้งตำรวจ เขาอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ ก่อนที่บรรดาตำรวจจะยกกันไปค้นบ้าน ฮาร์มันน์ และพบว่าที่ผนังมีคราบเลือดติเอยู่ด้วย

แต่ฮาร์มันก็แย้งว่าเขาใช้ที่นี่เป็นฐานการผลิตส่งออกเนื้อหมูของเขา ซึ่งเป็นที่ที่เขาจะแล่เนื้อหมูก่อนนำออกไปขาย
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวดิ้นไม่หลุด คือสิ่งของและเสื้อผ้าของเหยื่อ

ด้วยหลักฐานที่แน่นหนาขนาดนี้ ไม่นานฮาร์มันน์ก็ยอมรับสารภาพ ว่าเป็นผู้กระทำความผิดและอ้างว่าจำนวนชีวิตที่เขาได้พรากไปนั้นอยู่ที่ 50ถึง 70ชีวิต โดยพบศพที่ยังไม่ถูกชำแหละอยู่ที่ 24-27 คน นอกนั้นสาบสูญ หาไม่พบ ซึ่งก็คือถูกนำไปขายในตลาดเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งฮาร์มันน์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้งยังยอมรับว่าบางศพก็ไม่ได้เอามาแล่เป็นเนื้อ แต่เอาไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ ไม่ก็เอาไปฝังไว้ รวมถึงบอกที่ที่เขาเอาศพไปซ่อนไว้ด้วย

โดยเจ้าตัวถูกนำตัวไปขึ้นศาลเพื่อพิพากษา ซึ่งก็มีชาวบ้านเข้ามารุมสาปแช่ง เรียกเขาว่า แดร็คคูล่าแห่งฮันโนเวอร์ก็ดีหรือ เรียกว่า ไอ้หมาป่า โดยคดีนี้ถือเป็นคดีที่สะเทือนขวัญไปทั่วเยอรมัน

ซึ่งในระหว่างกำลังไต่สวน เหมือนเจ้าตัวจะรู้ชะตากรรมแหละ อยู่ดีๆก็ตะโกนขึ้นมาว่า “รีบๆเอาขวานมาจามหัวกูให้ได้ได้แล้วว๊อยยย “

ท้ายที่สุดฟริตส์ ฮาร์มันน์ก็ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต
ในวันที่ 15 เมษายน 1925 ก่อนประหาร เขาได้ขอสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่า

“ผมเสียใจ แต่ผมไม่กลัวที่จะตาย
ผมอยากจะให้มีการประหารชีวิตผมในตลาดในตัวเมือง
มีหินป้ายชื่อติดบนหลุมศพของผมจารึกไว้ว่า

“นี้คือศพของฮาร์มันน์ ฆาตกรที่สังหาร คนจำนวนมหาศาล”

หลังจากเสร็จสิ้นการประหาร หัวของฮาร์มันน์ก็
ถูกเก็บรักษาอย่างดีโดยนักวิทยาศาสตร์
ที่จะตรวจสอบดูโครงสร้างของสมองของเขา

ปัจจุบันหัวของฮาร์มันน์ถูกเก็บที่
โรงเรียนแพทย์ก็อธทิงเก้น และเรื่องราวของเขา
ก็ถูกถ่ายทอด เป็นภาพยนตร์,นวนิยายมากมาย
ตามมา เช่นเรื่อง The Bloody Red Baron (1995).
สืบสานแม้กระทั่งเป็นเรื่องเล่าเขย่าขวัญมาจนถึงปัจจุบัน.

อนึ่งฮานส์ กันน์ หลังจากที่ฮาร์มันน์โดนประหารก็ถูกออกหมายจับ เจ้าตัวจึงหนีไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตด้วยการเป็นโจรย่องเบา และ ขายเสื้อผ้าเก่าๆ จนในท้ายที่สุดเจ้าตัวได้มีการส่งหนังสือถึงศาลอ้างว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนจะโดนจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ในฐานะผู้ร่วมสมคบคิด