น้ำตกห้วยจันทร์ ศรีสะเกษแห้ง ร้างนักท่องเที่ยว

1966

พิษภัยแล้ง! “น้ำตกห้วยจันทร์” ชื่อดังศรีสะเกษแห้งขอดเหลือแต่ชื่อ กลายเป็นน้ำตกร้างไร้นักท่องเที่ยว ร้านค้ากว่า 50 ร้านต้องปิดตาย ชาวบ้านเดือดร้อนหนักสูญรายได้ ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคมากว่า 2 เดือนแล้ว ชี้ปีนี้ไม่มีน้ำเล่นสงกรานต์อย่างแน่นอน

วันนี้ (8 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ภัยแล้งของ จ.ศรีสะเกษกำลังขยายวงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แหล่งน้ำตามธรรมชาติต่างๆ แห้งขอด ลำน้ำตกห้วยจันทร์ บ้านห้วยจันทร์ ต.ห้วยจันทร์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นน้ำตกแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ศรีสะเกษและภาคอีสานที่อยู่ติดชายแดนกัมพูชาได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างหนัก น้ำในน้ำตกห้วยจันทร์แห้งขอดเหลือเพียงร่องน้ำและโขดหินเป็นทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร

ทำให้น้ำตกห้วยจันทร์ที่เคยมีน้ำให้นักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำคลายร้อนกันเย็นฉ่ำกันอย่างเต็มที่ ขณะนี้เหลือเพียงน้ำที่กระจายอยู่ในแอ่งตามพลาญหินเท่านั้น และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวทำให้ร้านค้าของชาวบ้านกว่า 50 ร้านที่เคยเปิดร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม และของป่า ต้องปิดร้านขาดรายได้มานานกว่า 2 เดือนแล้ว อีกทั้งชาวบ้านห้วยจันทร์ยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้อย่างหนักอีกด้วย

นางคาแวน ทองละมุล อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 73 หมู่ 5 บ้านน้ำตกห้วยจันทร์ ต.ห้วยจันทร์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เจ้าของร้านขายอาหารที่น้ำตกห้วยจันทร์มานานกว่า 30 ปี กล่าวว่า น้ำตกห้วยจันทร์ได้เริ่มแห้งขอดมาตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยน้ำได้แห้งเร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา ปกติแล้วน้ำตกห้วยจันทร์จะเริ่มแห้งประมาณเดือน เม.ย. แต่ทุกปีที่ผ่านมาจะยังพอมีน้ำให้นักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำบ้าง แต่ปีนี้ไม่มีน้ำเลย

ทั้งนี้ น้ำตกห้วยจันทร์เป็นสายน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาพนมดงรักชายแดนไทย-กัมพูชา และตามเส้นทางของลำน้ำมีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตั้งอยู่ ทำให้มีการเก็บกักน้ำไว้ใช้

อีกทั้งมีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำเพื่อเข้าไปทำไร่ทำสวนกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้น้ำตกห้วยจันทร์แห้งขอด ไม่เหลือน้ำแม้แต่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนต้องซื้อน้ำที่พ่อค้าเร่นำมาขายในราคารถละ 200 บาทเพื่อใช้ในครัวเรือน และปีนี้คาดว่าน้ำตกห้วยจันทร์จะไม่มีน้ำให้นักท่องเที่ยวเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างแน่นอนแล้ว

ที่มา : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000024423