ผีกระสือ นักล่ายามรัตติกาล

1165

กระสือ เป็นผีที่สิงสู่อยู่ในคนเพศหญิง โดยมากมักจะพบกระสือที่สิงร่างของยายแก่ อุปนิสัยอันโดดเด่นของกระสือก็คือการชอบรับประทานของสดคาว และเที่ยวออกหากินในเวลากลางคืน โดยเวลาออกหากินจะออกไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายจะทิ้งไว้ที่บ้าน บุคคลอื่นๆมักจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตที่มีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆเวลาที่กระสือออกหากินเสมอ

หากหญิงคนไหนเพิ่งคลอดลูกใหม่ ผีกระสือจะมาหากลิ่นคาวสดของเลือด และเข้าสิงร่างเพื่อกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก รวมถึงทำร้ายเด็กทารกคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงบริเวณที่มีร่องมีรูเพื่อป้องกันกระสือ และเชื่อกันว่ากระสือจะกลัวหนามเกี่ยวไส้ของตนขาดจนไม่กล้าเข้ามา

อาหารสุดโปรดของกระสืออีกชนิดหนึ่งก็คือ ของโสโครก เช่น อุจจาระ เป็นต้น หากกระสือรับประทานเข้าไปแล้ว ก็จะเข้าไปเช็ดปากตามผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งข้ามคืนไว้ ทำให้ผ้านั้นปรากฏเป็นรอยเปื้อนเป็นดวง ๆ หากใครได้เอาผ้านั้นไปต้ม กระสือก็จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากเป็นอย่างมาก จนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป

กระสือเป็นผีที่ตายยาก ก่อนตายจะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ก่อน เพื่อจะได้เป็นกระสือสืบทายาทตัวต่อไป เมื่อตนจะตายจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอีกต่อไป

วิธีในการปราบกระสือนั้นเป็นการยากมากที่จะไล่ผีที่มาสิงออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณผีกระสือจะหยั่งรากลึกลงในใจของคน ๆ นั้น ดังนั้น หากต้องการปราบกระสือก็จำเป็นจะต้องฆ่าคน ๆ นั้นให้ตายไปพร้อมๆกับวิญญาณด้วยเลย

ในประเทศมาเลเซียมี”ผีฮันตูปินังกาลัน” ซึ่งมีเรื่องเล่าที่มีลักษณะคล้ายกับกระสือของไทย โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่า มีครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก พอตกกลางคืน ผู้เป็นพ่อมีธุระที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่จึงปิดประตูอยู่ในห้อง จากนั้นจึงหยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพัก หัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยตามติดออกมาด้วย เมื่อหัวและไส้ของนางเคลื่อนที่ไปไหนก็จะปรากฎเป็นดวงไฟสีเหลืองท่บริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังมีเสียงดังประดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยออกไปเพื่อขับไล่สัตว์น้อยใหญ่ที่หวังจะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง

เมื่อผู้เป็นลูกแอบเห็น จึงได้ลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทาดูบ้าง ในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากร่าง เด็กน้อยก็เกิดความกลัว และร้องไห้โวยวายออกมาอย่างเสียงดังว่า “ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว”เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงของเด็กน้อย ก็พากันหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

จนกระทั่งเมื่อหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับเข้ามาสู่ร่างเดิม เสียงร้องโวยวายก็สงบเงียบลง และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีออกไป และไม่มีใครมีโอกาสได้พบเห็นพวกเขาอีกเลย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าของชาวญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินในเวลากลางคืนได้ด้วย ปีศาจตัวนี้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนวันหนึ่ง มีซามูไรผู้กล้าผู้ที่ปัจจุบันผันตัวเองไปบวชเป็นพระ และธุดงค์ผ่านมา เมื่อหัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ทราบเข้า ก็ได้นิมนต์พระรูปนั้นไปพักที่บ้านของตน

เมื่อตกกลางคืน พระได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหวังจะไปดื่มน้ำโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัวเพราะกลัวจะเป็นการรบกวน ขณะที่เดินผ่านไปยังห้องนอนของเหล่าปีศาจ กลับพบว่าทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัว เมื่อพระเดินตามออกไปดูนอกบ้าน ก็พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา และใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้นดิน อีกทั้งยังได้ยินแผนการที่พวกปีศาจจะกินตนในเวลาก่อนรุ่งเช้าด้วย

เมื่อพระได้ยินดังนั้น จึงลากเอาร่างไร้หัวของเหล่าปีศาจไปแอบซ่อนไว้ และเมื่อปีศาจกลับมาแล้วไม่พบร่างของตนก็รู้สึกตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้ช่วยกันรุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจต้านทานความเก่งกาจของพระผู้ที่เคยเป็นซามูไรมาก่อนได้ จนในที่สุดก็ตายลงในเวลาเช้า

อย่างไรก็ตาม มีหัวของหัวหน้าปีศาจได้กัดติดมากับจีวรของพระ และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โดยโจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกเอาเงินผู้คน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลัวว่าปีศาจจะมาทวงคืน จึงได้ทำสุสานเพื่อฝังหัวปีศาจเอาไว้ และเชื่อกันว่าสุสานแห่งนี้ยังคงมีปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้