สยองขวัญ ริมฝั่งโขง

1103

คิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินเรื่อง “บั้งไฟพญานาค” หรือพญานาคในแม่น้ำโขงมาพอสมควรแล้วนะคะ ดูเหมือนว่าจะมีที่จังหวัดหนองคายแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ามีที่จังหวัดอื่นๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

ลูกไฟที่โผล่จากแม่น้ำโขงตอนค่ำๆ เหมือนมีใครจุดพลุพุ่งวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า ทีละลูกสองลูก รวมแล้วก็หลายสิบลูกนั่นแหละค่ะ ที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค

ที่น่าแปลกประหลาดสุดๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาเท่านั้น…เชื่อกันว่าพญานาคสำแดงอิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นการร่วมทำบุญกับพุทธศาสนิกชนนั่นเอง!

เคยมีผู้กังขาทั้งไทยและเทศว่าคงไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์นอกเหนือธรรมชาติแต่คงจะมีใครอุตริไปจุดพลุอยู่ใต้น้ำแน่ๆ จนมีการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจทั้งฝั่งไทยและลาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครแอบซุกซ่อนกระทำการที่ว่าแม้แต่คนเดียว

ในที่สุดก็โมเมว่าคงเป็นก๊าซบางชนิดที่ก่อตัวเป็นแสงเรืองๆ ตามป่าดงที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นหญ้าเน่า รวมทั้งตามห้วยบึงต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นผีกระสือนั่นไงคะ!

แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดีว่า เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงปรากฏในวันออกพรรษาตรงเผงทุกปี?

ดิฉันคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องนี้เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาหยกๆ นี่ล่ะค่ะ

ครอบครัวเราตัดสินใจหนีความวุ่นวายน่าปวดหัวในกรุงเทพฯ โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยวรายการ “อีสานเลาะโขง” กับชัยทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 15 เมษายน มีกำหนดการไปสู่เพชรบูรณ์ ด่านซ้าย และเชียงคาน จังหวัดเลย เลียบเลาะลำน้ำโขงเรื่อยไปถึงอำเภอปากชม อำเภอสังคม เข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ หนองคายแล้ววกไปนครพนม มุกดาหารและอุบลราชธานี ก่อนจะเดินทางกลับผ่านสุรินทร์และนครราชสีมา

วันที่ 11 เมษายน นั่นเองที่เราเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ แวะชมวัดพัฒนาตัวอย่างอยู่ติดกับริมแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพสวยงามมาก

นั่นคือวัดหินหมากเป้งอันมีชื่อเสียงเพราะเป็นวัดของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือ “หลวงปู่เทสก์” ที่เราๆ ท่านๆ ย่อมจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงท่านเป็นอย่างดี

เมื่อลงจากบันไดหินลงไปสู่ลานวัดก็คลายร้อน เพราะร่มรื่นด้วยกิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่ มีพระกำลังกวาดใบไม้แห้งบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เมื่อเข้าไปนมัสการท่านก็ได้รับความรู้ที่น่าประหลาดใจ…วัดใหญ่โตแต่มีภิกษุอยู่เพียง 7 รูปเท่านั้นเอง

ลูกสาวดิฉันจูงมือพ่อแม่วิ่งเข้าไปในศาลาริมแม่น้ำ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็กระจายกันไปถ่ายรูปบ้าง ไหว้พระบ้าง และมี 4-5 คนมาเกาะระเบียงมองดูลำน้ำเปี่ยมฝั่งผิดกับที่อื่นนับว่าน่าแปลกประหลาดเอาการ

เสียงใครพูดแจ้วๆ ว่ามีผึ้งหลวงมาทำรังใหญ่โตที่ต้นไม้ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นภาพนั้นจริงๆ พอดีอาจารย์ไสวผู้เป็นนักธรณีวิทยา อายุราว 70 เศษ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ชี้ให้ดูฝั่งตรงข้าม เล่าว่าทางลาวเห็นวัดฝั่งเราใหญ่โตน่าเลื่อมใสก็เลยสร้างวัดขึ้นมาประชัน ถึงหน้าเทศกาลงานบุญก็ลงเรือข้ามฟากไปมาหาสู่กันเพื่อทำบุญแบบบ้านพี่เมืองน้อง

ขณะนั้นฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดมาเย็นสบายจนทำให้ดิฉันนึกถึงงานสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นพรุ่งนี้แล้ว…พอดีอาจารย์ไสวพูดถึงบั้งไฟพญานาคในแง่วิทยาศาสตร์ โดยอธิบายว่า ริมน้ำด้านนี้มีซอกซอยคดเคี้ยวอยู่มากมาย เมื่อถึงหน้าน้ำหลากแทบท่วมหัว ฝูงปลาน้อยใหญ่จึงเข้ามาหาอาหารกินเพลิดเพลินจนลืมตัว…

เมื่อน้ำลดจึงออกไม่ทัน ตกคลั่กจนแห้งตาย สะสมกันมากเข้ากลายเป็นก๊าซบิวเทนที่ติดไฟง่าย เมื่อถึงหน้าน้ำก็ทะลักทลายออกไป…

และนี่คำตอบว่าทำไมจึงเกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นมา!

ทันใดนั้นเอง ลูกสาวดิฉันก็ตะโกนเรียกพ่อแม่จนหันไปมอง ก็เห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปที่กลางแม่น้ำโขง ร้องเสียงลั่นๆ ว่า…งูยักษ์! ดูงูยักษ์ซีแม่ มีตั้งสองตัวแน่ะ!

ดิฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงความช่างคิดช่างฝันของเด็กๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่าน นิทานก็จดจำจนเอาไปคิดว่าเป็นความจริง แต่เมื่อหันไปมองตามมือแกก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายเต็มทีใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

คุณพระช่วย! สิ่งที่ปรากฏอยู่เกือบกลางลำน้ำโขงนั่น ไม่ใช่เพราะดิฉันตาฝาดไปเองอย่างแน่นอน

ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มก็ยังมองเห็นภาพงูยักษ์สองตัวพ่นน้ำคึกคะนองอย่างเลือนราง ได้แต่ครางว่า…พญานาคมีจริงหรือนี่? ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะงานนี้!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด