ไหว้พระเลย รับลมหนาว ธรรมชาติอีสานเหนือ

901

จังหวัดเลยเป็นจังหวัดที่มีความงดงามทางธรรมชาติสูง ภูเขา และสถานที่เที่ยว ติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีอากาศเย็นตลอดเวลา การขึ้นภูกระดึง หรือเที่ยวชมบรรยากาศริมโขงที่เชียงคาน ถือเป็นความสุข ของคนที่ชอบท่องเที่ยวเสมอ นอกจากนั้น จังหวัดเลยยังมีวัดที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดที่จะไปกราบไหว้พระเลย เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองและครอบครัว มีวัดอะไรกันบ้างไปดูกันเลยครับ

1.พระธาตุศรีสองรัก ศูนย์รวมใจ สองฝั่งโขง

ไหว้พระเลย รับลมหนาว ธรรมชาติอีสานเหนือ
ไหว้พระเลย รับลมหนาว ธรรมชาติอีสานเหนือ

พระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย สร้างขึ้น สมัย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ. 2106 พระธาตุศรีสองรัก สร้างขึ้น เพื่อให้เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างกรุงศรีอยุธยา (สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) กับกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือเวียงจันทน์ ประเทศลาว)

กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่าง ๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร

นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะล้านช้างทรงเครื่องอยุธยา หัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองสำริด มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ทุกวันขึ้น 15 เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้าย หรือ”ลูกผึ้งลูกเทียน” จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุขึ้น โดยจะนำต้นผึ้ง มาถวายพระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี

พระธาตุศรีสองรัก ไม่ชอบสีแดงตามความเชื่อของชาวบ้าน ดังนั้นในตลอด 400 ปีที่ผ่านมา พิธีฉลองสมโภชพระะธาตุศรีสองรักจึงไม่มีการฆ่าสัตว์บริเวณองค์พระธาตุ ทุกคนที่เข้าสักการะต้องไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์”สีแดง” เข้าไปในเขตพระองค์ธาตุด้วย เนื่องจากสีแดงเป็นสีแห่งการเข่นฆ่า ตรงข้ามกับความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สำหรับพระคาถาบูชา “พระธาตุศรีสองรัก” นั้น ให้ว่านะโม ๓ จบ แล้วตามด้วย “นะคะโลเก เทวะโลเก ชมพูทีเป ตาวะติงเส ชินนะธาตุโย อะระหันตา นะมามิ”

2. ตามรอยต้นสาละ วัดเนรมิตวิปัสสนา

วัดที่ตั้งอยู่สูงเด่นอยู่บนเนินเขา ห่างจากพระธาตุศรีสองรักเพียงเล็กน้อย พระอุโบสถและเจดีย์ภายในวัดก่อสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ที่เกิดจากจินตนาการสร้างสรรค์ออกแบบโดยพระและเณร ภายในพระอุโบสถตกแต่งไว้ตามแบบศิลปะส่วนกลาง มีพระพุทธชินราชจำลองเป็นพระประธาน และมีหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ

วัดเนรมิตวิปัสสนา ตั้งอยู่ในอำเภด่านซ้าย จังหวัดเลย วัดตั้งอยู่สูงเด่นอยู่บนเนินเขา ห่างจากพระธาตุศรีสองรัก เพียงเล็กน้อย พระอุโบสถและเจดีย์ภายในวัดก่อสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง และมีพระอุโบสถขนาดใหญ่ตกแต่ง อย่างวิจิตรงดงามตามศิลปะภาคกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย เกิดจากจินตนาการสร้างสรรค์ออกแบบ โดยพระและเณร มีภาพจิตรกรรมที่สวยงามประดับอยู่โดยรอบ มีพระพุทธชินราชจำลอง เป็น พระประธาน และมี หุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อพระมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดและได้มรณภาพแล้ว

บริเวณพื้นที่โดยรอบมี การจัด แต่งสวนและต้นไม้ร่มรื่นสวยงามและมีต้นไม้ที่ สำคัญทางพุทธศาสนา คือ ” ต้นสาละ” เป็นต้นไม้ที่ พระพุทธเจ้าทรงประสูติ เป็นสถานที่ที่ใครเดินทางมาถึงด่านซ้ายไม่ลืมแวะไปนมัสการและเที่ยวชม สื่งที่น่าสนใจในวัดเนรมิตวิปัสสนา 1.อุโบสถวัดเนรมิตวิปัสสนา ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ประกอบด้วยคานคอดิน อุโบสถเป็นลักษณะแบบทรงไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงด้วย กระเบื้องเซรามิก ฝาผนังเป็นศิลาแลงที่นำมาจากจังหวัดลำพูนและจังหวัดปราจีนบุรี พื้นของอุโบสถปู ด้วยหิน แกรนิตสีชมพูจากแหล่งหินแกรนิตในจังหวัดเลย ประตูหน้าต่างเป็นไม้มะค่าแผ่นเดียวเมื่อเข้ามาในโบสถ์จะพบ กับความงดงามของพระประธานปางมารวิชัยซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช โอสถ จำลองแบบมาจาก วัดมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกทั้งยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายอ่อนช้อยด้วยศิลปะ ของช่างเขียนชาว ด่านซ้าย ซึ่งใช้เวลาวาดนานถึง 8 ปี เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ภาพพระเวสสันดรชาดก และภาพทศชาติ รวมทั้งมี พระพุทธรูปปางนาคปรก พระแก้วมรกต รูปเหมือนหลวงพ่อโต 2.มณฑปพระครูภาวนาวิสุทธิญาณ เป็นมณฑปที่สร้างด้วยศิลาแลง เช่นกัน ที่มณฑปแห่งนี้ตั้งของหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ หรือพระครูภาวนาวิสุทธิญาณ ซึ่งเป็นผู้ร่วมกับพุทธศาสนิกชนร่วมกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นรวม ทั้งสังขารของหลวงพ่อ ซึ่งไม่เน่าเปื่อยให้พุทธศาสกนิกชน และลูกศิษย์ได้มากราบไหว้ วัดเนรมิตวิปัสสนา 20 หมู่ 14 บ้านหัวนายูง ตำบลด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

3. ไหว้พระเลย หลวงพ่อใหญ่ วัดโพนชัย

ไหว้พระเลย หลวงพ่อใหญ่ วัดโพนชัย

วัดคู่เมืองของอำเภอด่านซ้ายสร้างขึ้นพร้อมกับพระธาตุ ศรีสองรัก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2103 อายุราว 453 ปี โดยพระเถระของกรุงศรีอโยธยา 5 รูป และจากกรุงศรีสัตนาคณหุต 5 รูป ที่ทำสัตยาบัน (หล่อน้ำสัจจาตามศิลาจารึก) สร้างพระธาตุศรีสองรักได้มาพำนักอยู่ที่วัดนี้

จึงมีพระธาตุศรีสองรักจำลองอยู่ทางทิศใต้ของพระวิหาร 1 องค์ ขนาดกว้าง 3.75 เมตร สูง 15 เมตร วัดโพนชัย (ชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดโพน) บริเวณที่ตั้งวัดเป็นเนิน มีเรื่องเล่าว่าดินเนินเป็นมูลขุย ของพญานาค มีรูจากศูนย์กลางลงไปที่ท่าวังเวิน รูนี้เรียกว่า รูพญานาค ที่รูนี้สมัยเก่าแก่ได้สร้างพระวิหารครอบเอาไว้ และสร้างพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่ (พระเจ้าใหญ่) ตรงรูพญานาคนั้นไว้ พญานาคได้บุรูขึ้นมาอีกหลังพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่ (พระเจ้าใหญ่) ในพระวิหาร ปรากฏมีรอยโคลนตมของพญานาคที่ฟาดหางเปื้อนฝาผนังและที่หลังพระพุทธรูป ชาวบ้านได้กลบรูพญานาคที่ขึ้นมาฟาดหางหลังพระพุทธรูปนั้นได้หลายปี ต่อมาเปิดรูพญานาคแล้วทำรั้วกั้นล้อมรอบเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชม

วัดโพนชัย มีพระอุโบสถหลังใหญ่ เอกลักษณ์เฉพาะเป็นแบบศิลปะล้านช้างกับหลวงพระบางปัจจุบันได้มีการบูรณ์ซ่อมแซมใหม่บางส่วน คือ หลังคา และพื้น ภายในมีภาพเขียนสีผนังเป็นภาพที่มีการเขียนขึ้นใหม่ สร้างประมาณ 14-15 ปี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรตอนออกผนวชและยังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวโยงกับประเพณีผีตาโขน พระอุโบสถเกี่ยวกับพุทธประวัติ และพระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ภายในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งชาวอำเภอด่านซ้ายเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระเจ้าใหญ่ หรือหลวงพ่อใหญ่ เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก องค์พระสูง 115 นิ้ว หน้าตักกว้าง 79 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะคล้ายของล้านช้างหลวงพระบาง ชาวอำเภอด่านซ้ายจะมากราบไหว้บูชาในช่วงวันพระทุกวันตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้มิได้ขาด ด้านหลังของพระเจ้าใหญ่จะมีรูของพญานาคโผล่ขึ้นมาคอยปกปักรักษาหลวงพ่อใหญ่ โดยรูพญานาค ที่โผล่มีการเล่าขานสืบทอดกันมา ว่า เป็นรูที่พญานาคเจาะมาจากลำน้ำหมัน ห่างจากวัดประมาณ 300 เมตร พระอุโบสถหลังใหญ่มีลักษณะเป็นศิลปะแบบล้านช้างกับหลวงพระบางภาพเขียนสีผนัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ พุทธประวัติ ช่วงที่พระเวสสันดรตอนออกผนวชและยังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวโยงกับประเพณีผีตาโขน

พระเจ้าใหญ่ หรือหลวงพ่อใหญ่พระเจ้าใหญ่ เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก องค์พระสูง 115 นิ้ว หน้าตักกว้าง 79 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะคล้ายของลาว ชาวอำเภอด่านซ้ายจะมากราบไหว้บูชาในช่วงวันพระทุกวันมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้มิได้ขาด

4. ลำลึกถึงสมเด็จย่าที่ วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง

วัดที่แลดูสง่างามทั้งรูปแบบการสร้าง วัสดุที่ใช้ และทำเลที่ตั้ง ในอำเภอภูเรือ คงจะหาได้ยากยิ่งที่จะงดงามพร้อมได้ เหมือน วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง ด้วยวัดแห่งนี้เป็นพระอาราม ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระราชทานเงินซื้อ ที่ดินสำหรับ สร้างวัดนี้ขึ้นมา

อยู่บนเขาที่มีวิวสวยรอบด้าน มีพระอุโบสถโดดเด่นอยู่ตรงกลางรายล้อมด้วยวิหารรายทั้งสี่ ทุกหลังสร้างด้วยไม้แกะสลักลวดลายสวยมากๆ ทั้งผนังและคันทวย ยิ่งหน้าบันก็จะยิ่งสวยเพราะอยู่ด้านหน้าสุด ในวิหารรายแต่ละหลังประดิษฐานพระพุทธรูปที่งดงาม พระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธเจ้าไภสัชยาคุรุไวฑูรยประภา จอมแพทย์ หรือพระกริ่งปวเรศ เป็นพระปฏิมาประธาน พระพุทธรูปในวิหารรายองค์หนึ่งเป็นพระนอนแกะสลักด้วยหินหยกแม่น้ำโขง จากพม่า ทุกวันนี้ใครมาเที่ยวภูเรือไม่ได้แวะมาชมความสวยงามของวัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมืองนับว่าน่าเสียดายมากๆ เหมือนมาไม่ถึงภูเรือ ลักษณะเด่นตัวโบสถ์วิหารถูกสร้างด้วยไม้สักที่ถูกนำมาแกะสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจงทั้งหลังซึ่งสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้ขึ้นไปสักการะเป็นอย่างมาก

ประวัติวัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย หรือวัดภูเรือมิ่งเมือง ชื่อเดิมวัดพระกริ่งปวเรศ ตั้งอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงามของขุนเขาที่ขึ้นสลับซับซ้อนกันไปมาในอำเภอ ภูเรือ จังหวัด เลย และเป็นที่ประดิษฐาน องค์พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าไภสัชยาคุรุไวฑูรยประภา จอมแพทย์ (พระกริ่งปวเรศ) บรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุไว้ที่องค์พระปฏิมากรนี้ ตัวอาคาร มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรม ที่งดงามยิ่ง หลังคาที่ผสมผสาน ความงามสไตล์ไม้สนซีดาร์ ผลิตมาจาก Fiber Cement ที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง น้ำหนักเบา งดงามตามแบบ Natural Look มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย โบสถ์วิหารงานไม้สลักอลังการ พระนอน พระวิหาร นาคหัวบันได แกะจากหินหยกแม่น้ำโขง แท่งตันๆ สวยงาม

5. พาชมประติมากรรม ที่วัดป่าห้วยลาด

วัดป่าห้วยลาดมีศาลาเฉลิมพระเกียรติที่ใหญ่โตโอ่อ่า สง่างาม ซึ่งประดิษฐานพระประธานสีขาวบริสุทธิ์ สร้างด้วยแร่แคลไซด์ มีนามว่า พระสัพพัญญูรู้แจ้งสามแดนโลกธาตุองค์ใหญ่ที่สุด

ซึ่งงดงามปานเทวดาสร้างและศักดิ์สิทธิ์ ประดุจหลวงพ่อโสธร มีฉากหลังเป็น ภูเขาเยี่ยมเทียมฟ้า มองเห็นม่านเมฆลอยระเรี่ย มากระทบพื้นดิน ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ และดอกไม้นานาพันธ์ บรรยากาศเช่นนี้ จะดำรงคงอยู่อีกนานแสนนาน ตลอดไป ท่านอาจารย์ จึง เป็น ผู้ชี้ทาง แห่งบุญให้ลูกศิษย์ร่วมสร้าง ฝากไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา

วัดป่าห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้แบ่ง เขตวัดออกเป็น เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และ เขตฆราวาส เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำคัญยิ่ง แห่งแดนอีสาน เป็นที่สัปปายะเหมาะกับการทำสมาธิ ภาวนา และผู้ที่ต้องการก้าวเดินตามวัตรปฏิบัติแห่ง พระอริยสงฆ์เจ้าและครูบาอาจารย์ในอดีตที่เคยใช้ สถานที่แห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียร วัดป่าห้วยลาดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2542 โดยมี พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม เป็นเจ้าอาวาส

ย้อนกลับไปในปี พุทธศักราช 2483
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ดาจาริกธุดงค์มายังภูคลั่ง ซึ่งอยู่ติดกับ บ้านห้วยลาดด้านทิศตะวันตก ชาวบ้าน มีความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้อาราธนานิมนต์ หลวงปู่ชอบ ตั้งสำนักสงฆ์ห้วยลาดขึ้น หลวงปู่ชอบ ได้พำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ เพื่อ อบรมธรรมะ แก่ชาวบ้านห้วยลาดและหมู่บ้านใกล้เคียง นับแต่นั้นมา ก็ได้มีศิษยานุศิษย์ สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แวะเวียนมาพักเพื่อปฏิบัติธรรม มิได้ขาด อาทิ หลวงปู่ลี กุสลธโล หลวงปู่ปุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต พระอาจารย์จันเรียน คุณวโร และในระหว่างปี พ.ศ. 2518 – 2520 พระอาจารย์จันเรียน ก็กลับมาพักจำพรรษา ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น เป็นพุทธสถานแบบชั่วคราว และจำพรรษาอยู่ 3 พรรษา

ต่อมาในปีพุทธศักราช 2537
พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม หรือท่านอาจารย์ติ๊ก ศิษย์ของพระราชนิโรธรังสีคัมภีร์ปัญญาวิศิษย์ หรือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้จาริกธุดงค์ผ่านมาที่สำนักสงฆ์ห้วยลาด เห็นที่เป็นที่สัปปายะ ทั้งเคยมีครูบาอาจารย์มาบำเพ็ญภาวนา อยู่เสมอ นับว่าเป็นที่สถานที่มงคลแห่งหนึ่งในพุทธสาสนา

6.ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดลาดปู่ทรงธรรม

พระธาตุสัจจะ ที่มีความงดงามลักษณะคล้ายพระธาตุ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนอกจากนี้ ภายในบริเวณวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ฆ้องใหญ่ ไว้ให้ผู้มาเยือนได้ตี เอาโชคเอาชัย ก่อนที่จะขึ้นไปไหว้ พระธาตุกันด้วย

ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าหากใครได้ตีฆ้องนี้แล้ว เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาพระธาตุ จะอำนวยอวยชัยให้ผู้นั้นประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป หากนักท่องเที่ยวได้มาท่องเที่ยวจังหวัดอย่าลืมหาเวลามาเที่ยวที่วัดแห่งนี้หากได้มาแล้วนั้นจะต้องเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยว จะต้องประทับในอย่างแน่นอน

“วัดลาดปู่ทรงธรรม” ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2482 โดยมีอาคารเสนาสนะต่างๆประกอบด้วย อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ศาลาอเนกประสงค์ และมีมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทจำลอง ต่อมาได้มีการสร้างองค์พระธาตุสัจจะครอบรอยพระพุธบาทขึ้น เพื่อเป็นการต่อชะตา ให้กับองค์พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งได้พังทลายลงเนื่องจากความทรุดโทรมภายในยังใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์ธาตุ และพระปถวีธาตุพนม (ดินจากพระธาตุพนม) โดยพระธาตุสัจจะองค์นี้ ได้ทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2519 และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2522 โดยมีลักษณะขององค์พระธาตุ คล้ายกับพระธาตุพนม ในจังหวัดนครพนมนั่นเอง

7. สัมผัสธรรมชาติที่วัดถ้ำมโหฬาร

ถ้ำมโหฬาร อยู่ในบริเวณวัดถ้ำมโหฬาร ภายในถ้ำมีบริเวณกว้างขวาง มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยสลับซับซ้อนมากมาย ภาพเขียนปรากฏบนเพิงผาหน้าถ้ำ ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ภาพทั้งหมด เขียนแบบระบายสีทึบด้วยสีแดงคล้ำ เป็นภาพคนและสัตว์ปะปนกัน กระจายเต็มผนัง ควรเดินทางไปสัมผัสกับธรรมชาติ สักครั้งหนึ่งก็ยังดี

8.จิตรกรรมฝาผนังส่งผ่านกาลเวลาที่วัดโพธิ์ชัยนาพึง

วัดโพธิ์ชัยนาพึง บ้านนาพึง เป็นวัดที่มีความเก่าแก่และมีศิลปะที่สวยงาม เป็นวัดเก่าที่มีมาก่อนการตั้งหมู่บ้าน ภายในวัด มีวิหารเก่าแก่ ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่งดงาม ไม่เหมือนกับที่ไหน มีนักท่องเที่ยวสนใจ ที่จะเข้าชมจำนวนมาก เนื่องจากเป็น แหล่งประวัติศาสตร์ ที่มีความเก่าแก่และหาดูได้ยาก

ลักษณะเด่นภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ และพระเวชสันดรชาดก ผนังด้านนอกเขียนเรื่องเนมิราชชาดก สังข์ศิลป์ชัย และการะเกด ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังศิลปะพื้นบ้านของท้องถิ่นนี้สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ และการนับถือศาสนา ของ ชาวบ้านนาพึง และภาพจิตรกรรมฝาผนัง นี้ยังมีความสวยงาม และยังคงสภาพไว้แบบดั้งเดิม ให้ชนรุ่นหลังได้มาศึกษาได้เป็นอย่างดี

9.วัดศรีคุณเมือง ศิลปะผสมล้านนา และ ล้านช้าง

“วัดศรีคุณเมือง” หรือ “วัดใหญ่” หนึ่งในหลายศาสนสถานสำคัญ และ ถือเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านที่นี่ ตั้งอยู่บน ถนนชายโขง ระหว่างซอย ศรีเชียงคาน 6 และซอยศรีเชียงคาน 7 วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2485 และถือเป็นวัดเก่าแก่ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมือง เชียงคาน มาอย่างยาวนาน

และทุกวันพระรวมถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา วัดแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งมีทั้งชาวเชียงคานเองรวมถึงนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ที่ต่างก็พร้อมใจกัน มาร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมกัน อย่างถ้วนหน้า ครั้งแรกที่มาถึง เมื่อเราเดินผ่านกำแพงแก้ว เข้ามาภายในบริเวณวัด ก็ต้องสะดุดตา กับ โบสถ์เก่าแก่ ที่มีหลังคาลดหลั่นกันลงมาตามแบบ ศิลปะล้านนา อยู่เบื้องหน้า นอกจากนี้บริเวณผนังด้านหน้าของพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ปรากฏ ให้เห็นอยู่ เต็มหน้าบรรณ ซึ่งภาพทั้งหมดนี้เป็น ภาพนิทานชาดกชุด พระเจ้าสิบชาติ และถ้าสังเกตยังบริเวณด้านล่างของภาพจะเห็นว่ามีรูปรถตุ๊กตุ๊กอยู่ด้วย ทำให้สันนิฐานได้ว่า น่าจะเป็นภาพที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ หรือ อาจมีการแต่งเติมลงไปบนภาพเขียนเดิม ก็เป็นได้ และเมื่อเดินผ่านประตูโบสถ์ เข้ามาด้านใน ก็จะพบกับพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทอง ปางประธานอภัย ที่สร้างตามแบบศิลปะล้านช้างหรือแบบลาว ซึ่งคาดว่า น่าจะสร้างขึ้นมา ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 24-25 และมีข้อสังเกตว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การที่จะเข้ามาสักการะพระพุทธรูปไม้จำหลักนี้ จะทำได้เพียงการก้มกราบ อยู่ตรงบริเวณด้านล่าง ของอาศนะสงฆ์เท่านั้น ก่อนกลับ ให้ลองสักเกตบริเวณด้านข้างของพระประธานกันให้ดี ๆ เพราะจะมี “ฮางฮด” หรือ “รางรด” ที่มี ลักษณะ คล้ายรางน้ำตั้งอยู่ โดยตัวรางจะเป็นรูป ของเรือสุพรรณหงส์ ส่วนด้านหน้าจะเป็นเศียร ของพญานาค และส่วนท้องค่อนมาทาง หัวของพญานาค จะมีรูให้น้ำไหลลงมาได้ ฮางฮดนี้ จะใช้ใน การประกอบ พิธีสรงน้ำ พระผู้ใหญ่ หรือ เจ้าเมือง เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน หาดูได้ยากแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก https://thailandtourismdirectory.go.th